Autumn in Japan Food Japan Travel

แผนการเที่ยวพร้อมรีวิว Autumn Hokkaido 5 วัน 4 คืน – Part I

เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสจัดทริปสั้นๆไปเที่ยว Hokkaido มาค่ะ เป็นช่วงเดียวกับที่พายุไต้ฝุ่นฮากิบิสกำลังเคลื่อนตัวเข้าฝั่งบนแผ่นดินใหญ่ฮอนชูพอดิบพอดี๊ ลุ้นตัวโก่งเลยค่ะว่าทริปนี้จะล่มหรือไม่ แต่โชคดีเส้นทางพายุมาไม่ถึงเกาะฮอกไกโด บรรยากาศตลอดทริปก็เลยสดใสสุดๆไปเลยย  

ทริปนี้เราเดินทางจากโซลสู่สนามบิน New Chitose ด้วยสายการบิน JinAir สนนราคาตั๋วไป-กลับรอบนี้อยู่ที่ประมาณ 3,650 บาทค่ะ ใครสนใจดาวน์โหลดกำหนดการการเดินทางตลอดทริปแบบคร่าวๆพร้อมค่าใช้จ่ายได้ ที่นี่ เลยค่ะ ถ้าอยากรู้รายละเอียดของสถานที่ต่างๆ ร้านที่เราไปแวะลอง พร้อมชมภาพบรรยากาศจากสถานที่นั้นๆ สามารถติดตามได้จากโพสนี้เป็นต้นไปเลยนะค้าาา  

Let’s get together, yeah yeah yeah  

เกาะฮอกไกโดนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในจำนวนเกาะต่างๆของญี่ปุ่น แต่การคมนาคมนั้นยังค่อนข้างจำกัด รถไฟและรถบัสก็มีบริการพอทั่วถึงกันแค่ในเมืองใหญ่ๆอย่างซัปโปโรและฮาโกดาเตะ การเดินทางออกนอกตัวเมืองนั้นยังทำได้ไม่สะดวก รถยนต์จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปยังจุดหมายที่ห่างไกลในฮอกไกโด ในทริปนี้เราและเพื่อนๆอีกสิบคนจึงเลือกที่จะเช่ารถขับเที่ยวกันเองแบบไม่เร่งรีบค่ะ  

เช่ารถจาก Niconico Rent a Car  

เราเช่ารถขนาดหกผู้โดยสารมาสองคันจาก Niconico rent a car หลังจาก landing และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้วให้โทรไปที่เบอร์ +81-092-687-4556 เพื่อแจ้งให้ทางร้านรู้ว่าเราถึงแล้ว แล้วเค้าจะส่ง shuttle bus มารับเราค่ะ ให้เราไปรอที่จุดจอดรถ shuttle bus (การเดินไปขึ้นรถ)   สำหรับคนที่จะทำหน้าที่ขับรถจะต้องมี International Driver Lisence ในช่วงที่ไปรับรถควรเช็คให้แน่ใจว่าราคาที่เช่านี้รวมประกันอุบัติเหตุแล้วหรือยังนะคะ และอย่าลืมถามหา Hokkaido Expressway Pass กับ บัตร ETC (Electric Toll Collection) เพื่อความสะดวกเวลาขับขึ้น toll way ค่ะ   หลังจากเซ็นต์สัญญารับรถแล้วพี่พนักงานก็จะพาเราไปดูรถ ตรวจเช็คสภาพความเรียบร้อยต่างๆแล้วเค้าจะเรียกคนขับ(เท่านั้น)ไปรับฟังการสาธิตใช้ GPS หรือใครสะดวกจะเปิด Google Map เลยก็ได้ค่ะ ระบบพิกัดต่างๆค่อนข้างมีความแม่นยำสูง

Day 1 (13 ตค 2562): Asahikawa – Biei – Furano

Toriton Asahikawa Branch  

รถพร้อม คนพร้อม เริ่มออกเดินทางกันเล้ยยยย ที่แรกที่เราพุ่งไปกันคือร้านซูชิสายพาน Toriton สาขาอาซาฮิกาวะ เพื่อเติมพลังกันก่อนเลยค่ะ   สิ่งแรกที่เจอเลยคือคิวรอที่ยาวเหยียดทำเอาเกือบถอดใจ แต่มาถึงแล้วให้ทำไงก็ต้องรอค่ะ ผ่านไปสามสิบนาทีเรากับเพื่อนก็ถูกเรียกให้ไปนั่งที่บาร์ แต่ต้องนั่งแยกกันเพราะมาหลายคน ที่นี่มีโซนที่เป็นโต๊ะแบบครอบครัวอยู่ค่ะ แต่ต้องรอคิวนานกว่านั่งที่บาร์  

นั่งแล้วเราก็สามารถหยิบซูชิที่อยู่บนสายพานมาทานได้เลยค่ะ แต่เราได้คุณลุงคนข้างๆแนะนำมาว่าอย่าหยิบจากสายพาน ให้สั่งเอาให้เค้าปั้นใหม่ๆอร่อยกว่า ก็ต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้นด้วยค่ะ วิธีสั่งก็ไม่ยากค่ะให้เขียนชื่อจานที่จะสั่งพร้อมจำนวนลงในกระดาษที่เค้าเตรียมไว้ได้เลย เมนูมีหลายภาษาตั้งแต่อังกฤษ ไทย จีน เกาหลี เป็นการการันตีว่าร้านนี้เป็นที่นิยมขนาดไหน  

เราว้าวกับทุกจานจากที่ทั้งสั่งทั้งหยิบมาค่ะ แต่ที่สุดๆของความว้าวของเราเห็นจะเป็นแซลม่อนกับโอโทโร่ซูชิค่ะ มันช่างหวานมันละลายในปากสมกับที่มาจากแหล่งขึ้นชื่อด้านอาหารทะเลจริงๆค่ะ

Central Biei

หลังจากอิ่มท้องกันแล้วเราก็ลงใต้จากอาซาฮิกาวะไปยังเมืองเล็กๆแต่น่ารักอย่างเมือง ‘บิเอะ’ กันค่ะ ระหว่างทางบริเวณใกล้ๆกับสถานี Kita-Biei เราบังเอิญผ่านทุ่งทานตะวันทุ่งหนึ่งกำลังเบ่งบานทำให้เนินเขานั้นทั้งเนินเหลืองอร่ามสวยงามจนเราต้องหยุดรถลงมาถ่ายรูปกัน นี่ถือเป็นข้อดีที่สุดของการขับรถเที่ยวเองเลยค่ะ อยากแวะจอดแวะเที่ยวตอนไหนก็ได้

ข้อแนะนำที่อยากฝากไว้ถ้าจะมาเที่ยวฮอกไกโดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้นะคะ ให้เตรียมเสื้อผ้าอุ่นๆมาไว้อุ่นตัวและอุ่นใจสุดค่ะ เพราะแม้ว่าจะพึ่งออกจากฤดูร้อนมาแต่อุณหภูมินี่ลดลงต่ำไวมากๆ ต่ำถึง 5 องศา หนาวเลยหล่ะค่ะ เราเตรียมแค่ trench coat มา พลาดสุดๆ ลมพัดมาทีนี่ปากสั่นพรึ่บๆ เตรียม extra warm clothes กันมานะค้า

ถึง Biei แล้ว หนึ่งในกิจกรรมสุดฮิตที่ถูกแนะนำในเกือบทุกเวปไซต์การท่องเที่ยวคือ ปั่นจักรยานชมเมืองชิวๆเก๋ๆกันค่ะ มันก็คงจะเก๋จะชิวนะคะถ้ามันไม่หนาวววว 555

ใกล้ๆสถานี Biei มีร้านมินิมาร์ทที่ให้บริการเช่าจักรยานอยู่หลายร้านในราคาที่ไม่ต่างกันคือ

จักรยานธรรมดา 200 เยน/ชม | จักรยานไฟฟ้า 600 เยน/ชม

เราแนะนำให้เลือกจักรยานไฟฟ้าค่ะ สะดวกและปั่นสบายมากเพราะเนินจะเยอะนิดนึง ข้อดีของการปั่นจักรยานชมเมืองบิเอะคือเราจะได้ดื่มด่ำและสัมผัสกับภาพบรรยากาศของทุ่งกว้างๆและเนินเขาแบบใกล้ชิดค่ะ แต่ด้วยความที่มันเข้าใกล้หน้าหนาวแล้ว สี่โมงเย็นดวงอาทิตย์ก็ฉายแววจะลากันซะแล้ว ปั่นไปยังไม่เท่าไหร่ได้ต้องหยุดมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินยามสนธยาที่เนินเขา Hokusei ซะนี่ ไว้มีโอกาสจะกลับมาปั่นให้มันเร็วกว่านี้แน่นอนค่ะ

Kumagera

ออกจาก Biei ขับต่อมาที่เมือง Furano เพราะสองคืนแรกเราพักกันที่เมืองฟุราโนะค่ะ หลังจากหมดแรงจากปั่นจักรยานเราก็มาหาข้าวเย็นกินกัน และร้านที่เรามาฝากท้องไว้ในวันนี้ก็คือร้าน Kumagera ร้านนี้เห็นติดอันดับร้านอาหารยอดนิยมของเมืองฟุราโนะ การันตีโดยป้าย Michilin Guide ที่โชว์หราอยู่ใกล้เค้าท์เตอร์คิดเงิน เมนูแนะนำของร้านคือนาเบะรวม (Mixed Nabe) ที่ใส่ทั้งเนื้อกวาง เป็ด และ ไก่ ต้มเดือดในหม้อดินพร้อมผักโลคอลสดๆ เราเลือกที่จะไม่ใส่เนื้อกวางค่ะ เพราะแชร์กันกินหลายคนเลยเอาแบบเบสิคๆไว้ก่อน น้ำซุปเข้มข้นหอมอร่อย เค็มๆมันๆกินกับข้าวสวยกำลังดี ข้าวโพดต้มหวานอร่อยเป็นธรรมชาติ ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าเนื้อไก่อร่อยกว่าเนื้อเป็ดเลยขอเพิ่มเนื้อไก่มาอีกจานก็เกลี้ยงค่ะ เราสั่งเมนูอื่นๆมาลองอีกรสชาติค่อนข้างโอเค เช่น ข้าวหน้าเนื้อดิบ เนื้อสดแต่จะให้อร่อยมากขึ้นต้องราดซอสที่เค้าเตรียมมา ข้าวหมูทอดกับทงคัทสึค่อนข้างธรรมดาไม่ว้าวเท่าไหร่ รวมๆแล้วก็สมกับที่เป็นร้านแนะนำที่ต้องมาลองเวลามาเที่ยวฟุราโนะค่ะ

ที่พัก: 5 BR Parkside Chalet

หลังจากอิ่มหนำสำราญกันมาทั้งวันก็ถึงเวลาที่เราต้องไปเช็คอินเข้าที่พักกันแล้วค่ะ สำหรับสองคือแรกที่ค้างที่ฟุราโนะเราได้เลือกพักกันที่ 5BR Parkside Chalet โดยการจองผ่าน Airbnb ที่นี่มีลักษณะเป็นบ้านพักตากอากาศสามชั้น(รวมชั้นใต้ดิน) ตั้งอยู่ใจกลางของหมู่บ้าน Kitanomine resort ใกล้กับ Furano Ski Resort ภายในมี 5 ห้องนอน 2 ห้องอาบน้ำ 2 ห้องน้ำ มีระเบียงสำหรับดินเนอร์ โซนทำครัว game room ที่เต็มไปด้วยบอร์ดเกม playstation บลาๆ และห้องรับแขกที่กว้างมากๆ เหมาะที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ๆที่จะใช้พักผ่อนค่ะ

โพสนี้เราเขียนด้วยใจไร้สปอนเซอร์สนับสนุน แต่อย่างไรก็ตามถ้าทุกคนซื้อสินค้าหรือจองบริการผ่านลิงค์โฆษณาที่โผล่ขึ้นมา เราจะได้ค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆเพื่อนำมาใช้พัฒนา Ploy’s Little Atlas บล็อกท่องเที่ยวเล็กๆของเรานี้ต่อไปค่ะ ขอบพระคุณผู้เข้าชมทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ //ไหว้ย่อ//

โพสที่เกี่ยวข้อง