Autumn in Japan Food Japan Travel

แผนการเที่ยวพร้อมรีวิว Autumn Hokkaido 5 วัน 4 คืน – Part II

เกาะฮอกไกโดนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในจำนวนเกาะต่างๆของญี่ปุ่น แต่การคมนาคมนั้นยังค่อนข้างจำกัด รถไฟและรถบัสก็มีบริการพอทั่วถึงกันแค่ในเมืองใหญ่ๆอย่างซัปโปโรและฮาโกดาเตะ การเดินทางออกนอกตัวเมืองนั้นยังทำได้ไม่สะดวก รถยนต์จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปยังจุดหมายที่ห่างไกลในฮอกไกโด ในทริปนี้เราและเพื่อนๆอีกสิบคนจึงเลือกที่จะเช่ารถขับเที่ยวกันเองแบบไม่เร่งรีบค่ะ

ทริปนี้เราเดินทางจากโซลสู่สนามบิน New Chitose ด้วยสายการบิน JinAir สนนราคาตั๋วไป-กลับรอบนี้อยู่ที่ประมาณ 3,650 บาทค่ะ ใครสนใจดาวน์โหลดกำหนดการการเดินทางตลอดทริปแบบคร่าวๆพร้อมค่าใช้จ่ายได้ ที่นี่ เลยค่ะ ถ้าอยากรู้รายละเอียดของสถานที่ต่างๆ ร้านที่เราไปแวะลอง พร้อมชมภาพบรรยากาศจากสถานที่นั้นๆ สามารถติดตามได้จากโพส Part I เป็นต้นไปเลยนะค้าาา

เช่ารถจาก Niconico Rent a Car

เราเช่ารถขนาดหกผู้โดยสารมาสองคันจาก Niconico rent a car หลังจาก landing และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้วให้โทรไปที่เบอร์ +81-092-687-4556 เพื่อแจ้งให้ทางร้านรู้ว่าเราถึงแล้ว แล้วเค้าจะส่ง shuttle bus มารับเราค่ะ ให้เราไปรอที่จุดจอดรถ shuttle bus (การเดินไปขึ้นรถ)

สำหรับคนที่จะทำหน้าที่ขับรถจะต้องมี International Driver Lisence ในช่วงที่ไปรับรถควรเช็คให้แน่ใจว่าราคาที่เช่านี้รวมประกันอุบัติเหตุแล้วหรือยังนะคะ และอย่าลืมถามหา Hokkaido Expressway Pass กับ บัตร ETC (Electric Toll Collection) เพื่อความสะดวกเวลาขับขึ้น toll way ค่ะ

หลังจากเซ็นต์สัญญารับรถแล้วพี่พนักงานก็จะพาเราไปดูรถ ตรวจเช็คสภาพความเรียบร้อยต่างๆแล้วเค้าจะเรียกคนขับ(เท่านั้น)ไปรับฟังการสาธิตใช้ GPS หรือใครสะดวกจะเปิด Google Map เลยก็ได้ค่ะ ระบบพิกัดต่างๆค่อนข้างมีความแม่นยำสูง

Day 2 (14 ตค 2562): Furano – Biei

Furano Cheese Factory

เราเริ่มต้นวันที่สองด้วยการไปหามื้อเช้าทานกันที่โรงงานชีสฟุราโนะ (Furano Cheese Factory) กันค่ะ (สำหรับเรื่องราวในวันแรกสามารถติดตามได้ใน Part I นะคะ) ที่ตั้งใจแพลนแบบนี้เพราะว่าที่นี่เปิดตั้งแต่ 9:00 โมงเช้า ซึ่งเร็วกว่าที่อื่นๆโดยเฉพาะร้านอาหารที่จะเปิดหลัง 10:00 โมงซะเป็นส่วนใหญ่ ที่นี่ชื่อก็บอกใบ้ให้อยู่แล้วใช่มั้ยคะ เราจะได้เรียนรู้ถึงข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับชีสและ dairy product ต่างๆที่ขึ้นชื่อของเมืองฟุราโนะและของฮอกไกโด มีกิจกรรมสาธิตและให้ลองทำชีส สินค้าพื้นบ้านประจำท้องถิ่นก็มีวางขาย มีชีสให้ลองชิม (ส่วนตัวเราชิมแล้วไม่ค่อยโอเคโดยเฉพาะชีสหมึกดำ เลยไม่ได้ซื้ออะไรกลับเลย) แต่เรามาที่นี่เพื่อหาอะไรรองท้องกัน ร้าน Pizza Factory จึงเป็นเป้าหมายหลักของเราที่ต้องพุ่งชนในครั้งนี้ค่ะ

สั่งพิซซ่ากับ ticket vending machine เสร็จแล้วก็มีเวลาเดินสำรวจบริเวณรอบๆเล็กน้อยค่ะ (ให้คนที่ไม่อยากเดินเฝ้าโต๊ะรอพิซซ่ามา 555) เพราะช่วงที่เรามาใบไม้ในฮอกไกโดเริ่มเปลี่ยนสีพอดี วิวที่เห็นจากร้านพิซซ่าลงมาเป็นทิวแถวต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีส้มๆเหลืองๆสวยสดงดงามจนต้องให้พิซซ่ารอไปก่อน ขอถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีก่อนละกันนะ

วิวสวยเพลินจนเกือบลืมเรื่องพิซซ่า สรุปคือรสชาติดีใช้ได้ค่ะ เพราะเค้าอบด้วยเตาถ่านแบบดั้งเดิมและใช้วัตถุดิบที่ดีที่ปลูกและทำเองในฮอกไกโด

Asahigaoka Park

ใกล้ๆกับโรงงานชีสฟุราโนะ ขับรถมาไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงสวนอาซาฮิกะโอกะ ถ้าเสิร์จหาข้อมูลเกี่ยวกันสวนนี้จะเห็นว่าเป็นหนึ่งในสวนยอดนิยมสำหรับชมดอกซากุระบาน แต่ว่าในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้จะเป็นยังไงนั้น ตามไปดูกันค่ะ

สวนนี้กว้างมาก มีแม่น้ำ Sorachi อยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนที่เราไปถึงใบไม้ของต้นไม้หลายๆต้นในสวนเปลี่ยนสีไปเกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะต้นเมเปิลที่ใบกลายเป็นสีแดงเข้มสวยงาม บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มก็มีกองของใบไม้หลากสีที่โดนลมพัดจนปลิวหลุดร่วงมารวมกัน ถ่ายรูปพื้นใบไม้เก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นเพลินๆกันไปค่ะ

Asperges

สืบเนื่องจากเมื่อวันก่อนเรามีเวลาชมความงามของเมืองบิเอะตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกน้อยมากๆ วันนี้เลยจะขอกลับเข้าไปใหม่ แต่ก่อนอื่นเลยได้เวลาอาหารกลางวันแล้วค่ะ

พอถึงบิเอะเราแวะกินข้าวกลางวันกันที่ Legumes Restaurant Asperges ร้านนี้เสริฟคอร์สอาหารเพื่อสุขภาพที่เกิดจากการนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่ปลูกเองภายในเมืองบิเอะมาประกอบอาหารค่ะ เป็นความร่วมมือกันระหว่าง JA Biei ซึ่งเป็นสหกรณ์การเกษตรรายใหญ่ของฮอกไกโดกับเชฟชื่อดังฮิโรชิ นากามิชิ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าอาหารทุกจากที่ถูกเสริฟให้กับลูกค้านั้นได้มาตรฐานและคุณภาพดีคุ้มราคา ก่อนจะมาถึงที่ร้านให้โทรมาจองล่วงหน้าก่อนนะคะที่เบอร์ 0166-92-5522

สำหรับเมนู คอร์สแต่ละคอร์สจะถูกเสิร์ฟคล้ายกันต่างกันแค่จานหลักว่าจะเป็น สเต็กเนื้อ สเต็กหมู หรือว่าแฮมรมควันค่ะ เริ่มจาก potato bread มาก่อนจานแรก ถือเป็นจุดเริ่มที่ดี มันฝรั่งหวานมาก ขนมปังเหนียวนุ่มกำลังดี ตามมาด้วยพระรอง(รองจากจานหลัก)คือสลัดผัก 20 ชนิด ส่วนตัวคือเราชอบจานนี้มากกกกก สีสันสวยงามแต่หน้าตาอาจจะดูรกๆหน่อยแต่อร่อยมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเลย ผักสดหวานกรอบกรุบ ตามมาด้วย Potato Puree คล้ายๆซุปมันฝรั่ง ชามนี้เอาโล่ไปเลยค่ะ มันหอมนุ่มละมุนละลายบนลิ้นสุดๆแบบฉุดไม่อยู่ ต่อด้วยบร็อคโคลี่นึ่งราดซอดบร็อคโคลี่(รู้สึกจานนี้จะไม่มีในเซทแฮมนะคะ) เพื่อนเราบอกว่าเหม็นเขียวไปหน่อยแต่เราว่าก็อร่อยได้อยู่ จากนั้นจานหลักก็มาค่ะ น่าแปลกใจว่า main หลักของทุกจานไม่ว้าวเลย เราอาจจะคาดหวังมากไปเพราะจานก่อนๆหน้านั้นอร่อยมาก เสต็กเนื้อค่อนข้างจืดแต่ชุ่มฉ่ำดี แฮมรมควันคุณภาพเหมือนจะดีกว่าที่ซื้อที่ซุปเปอร์อยู่หน่อย เสต็กหมูเหมือนจะดีสุดค่ะ รสชาติกลมกล่อม ถัดมาเป็นของหวานหน้าตาดูไม่ออกว่าคืออะไร มีสีชมพูเข้มๆรูปร่างเป็นรูพรุนเหมือนใยบวบขัดตัว พอลองชิมถึงรู้ว่ามันคือไอศครีมค่ะ แปลกที่พอเข้าปากแล้วมันนิ่ม รสชาติเปรี้ยวๆหวานๆอร่อยดี ท้ายสุดคือชากาแฟค่ะ เลือกสรรตามใจชอบกันไป โดยรวมเราโอเคมากกับร้านนี้เพราะเราชอบผัก แต่สำหรับสายเนื้ออาจจะผิดหวังเล็กๆกับอาหารจานหลักของร้าน

Seven Stars Tree

หนึ่งในความน่ารักเป็นเอกลักษณ์ของเมืองบิเอะคือต้นไม้หลายๆต้นที่ดูออกจะธรรมดาถูกทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเนินเขานั้นๆเพราะเรื่องราวในอดีตที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ‘ต้นไม้ของเคนและแมรี่’ (Tree of Ken and Mary) ที่ถูกตั้งชื่อตามตัวเอกหลักในโฆษณารถยนต์ที่มาถ่ายทำโดยใช้ต้นไม้ต้นนี้เป็นฉากหลังในโฆษณา หรืออย่าง ‘ต้นไม้เซเว่นสตาร์’ (Seven Stars Tree) ที่เราจะไปในวันนี้ก็ด้วย ที่โด่งดังมาจากการถูกใช้เป็นภาพปกบนซองบุหรี่ Seven Stars เมื่อปี 1976

จริงๆคือตั้งใจจะขับรถเล่นชมวิวแล้วผ่านมาซะมากกว่าค่ะ ต้นไม้เซเว่นสตาร์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้นโอ๊คต้นใหญ่ๆต้นนึงขึ้นอยู่ข้างสวนมันฝรั่ง แต่วิวฟาร์มผักกับทุ่งหญ้าที่ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาตามสองข้างทางนี่สิคะสวยงามสะกดจิตดีจริงๆ

Shikisai no Oka

แน่นอนว่ามันเลยช่วงเวลาพีคที่จะชมดอกไม้บานมาแล้ว(กรกฎาคม~สิงหาคม) แต่ในเมื่อมาถึงบิเอะแล้วขอแวะเข้าไปเก็บภาพสวนดอกไม้ในเดือนตุลาคมหน่อยก็แล้วกันค่ะ

ที่สวนดอกไม้ Shikisai no Oka แม้ดอกไม้จะแห้งเหี่ยวไปเกือบหมดแล้วแต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอยู่ เพราะที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม ทั้งยังมีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆให้ทำได้อยู่เช่น ชมและให้อาหารอัลปาก้าขนปุยๆที่อยู่ในคอก (อาหารถุงละ 500 เยน) หรือขับ ATV เล่นในโซนเล็กๆที่เค้าจัดไว้ (ถ้าจำไม่ผิด รอบละ 800 เยน รอบนึงประมาณ 2-3 นาที) ถึงจะฟรีค่าเข้าแต่ค่าทำกิจกรรมนี่โหดเอาเรื่องอยู่นะคะ ในส่วนของสวนดอกไม้ แม้กลีบดอกไม้ส่วนใหญ่จะร่วงไปเกือบหมดเหลือแต่เกสร แต่ก็ยังคงเห็นร่องรอยของความสวยงามหลงเหลืออยู่ค่ะ ทัศนียภาพของพื้นที่ยังมีสีสันจากดอกไม้บางส่วนที่ยังอยู่ เช่นเฉดม่วงๆที่เห็นนั้นคือสีจากต้น violet sage ที่น่าจะรับไม้บานต่อจากลาเวนเดอร์ สีเหลืองจากดอกดาวเรืองกับทานตะวัน และสีแดงจากต้นไม้กวาด (kochia)

Furano Marche

กลับมาที่ฟุราโนะค่ะ เพราะแสงหมด พระอาทิตย์ตกดินแล้วจึงไม่มีสถานที่ไหนจะดึงดูดพวกเราได้ดีไปกว่าร้านอาหารอร่อยๆ แต่เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลาของอาหารเย็นดี เราเลยมีเวลาที่จะเอ้อระเหยกันต่ออีกนิดหน่อย และ Furano Marche คือที่ที่เราเลือกค่ะ

สำหรับเราที่นี่เหมือนที่สำหรับมองหาของฝากเพราะข้างในมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่หาได้จากเมืองฟุราโนะ บิเอะ หรือฮอกไกโดเท่านั้น เช่น Hokkaido Royce Chocolate เมล่อนไดฟุกุ น้ำผึ้งฟุราโนะ และอื่นๆอีกมากมาย แต่สำหรับชาวเมืองฟุราโนะเองที่นี่อาจจะเป็นเพียงซุปเปอร์มาร์เก็ตธรรมดาๆที่มีไว้สำหรับหาซื้อผักผลไม้สดๆกลับไปทำอาหารก็เป็นได้

Teppan Okonomiyaki Masaya

พวกเราจอดรถทิ้งไว้ที่ Marche และเดินมายังร้าน Teppen Okknomiyaki Masaya เพราะในช่วงเวลาอาหารเย็นแบบนี้คนจะเยอะจนที่จอดรถหน้าร้านนั้นเต็ม ร้านไม่ใหญ่มากแต่ก็มีที่พอสำหรับ 11 คนที่จะนั่งด้วยกันได้ พนักงานน่ารัก พูดภาษาอังกฤษได้ คอยถามตลอดว่าอยากให้ถ่ายรูปให้มั้ย

ร้านมาซายะนี้ขายอาหารประเภทเท็ปปังยากิ (Teppanyaki) คือจะใช้กระทะเหล็กแบนในการประกอบอาหาร มีเมนูให้เลือกเยอะแยะไม่ว่าจะเป็น ซี่โครงหมูย่าง (grilled spare ribs) โอโคโนมิยากิ ยากิโซบะ เกี๊ยวซ่า ออมมูไรส์ (omelette rice) และถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในแถบคันไซที่ขึ้นชื่อด้านเท็ปปังแต่ก็ต้องยกนิ้วให้กับความอร่อยของโอโคโนมิยากิกับยากิโซบะที่รสชาติคล้ายคลึงกับต้นตำรับเหมือนว่าเสิร์ฟตรงมาจากโอซาก้าเลยค่ะ และถ้าใครสั่งเมนูซี่โครงหมูย่างก็จะได้รับชมการพิเศษจากเชฟใหญ่ด้วยนะ เป็นการโชว์สกิลการผัดซี่โครงแบบดุเดือดจนไฟลุกพรึ่บบบบบจากเตาก่อนนำมาเสริฟให้คุณ ให้คะแนนความตื่นตาตื่นใจเอาไปสิบเต็ม แต่รสชาติค่อนข้างธรรมดาเอาไปซักหกค่ะ ในส่วนของเมนูข้าวห่อไข่นั้นอร่อยใช้ได้ค่ะ ซอสราดเข้มจ้น ทอปปิ้งหมูก็หอมนุ่มกำลังดี สรุปคือดีทุกอย่าง ยกเว้นที่จอดรถหน้าร้านน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง

ท้ายที่สุด ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการตบท้ายมื้ออาหารด้วยผลไม้สดๆหวานๆฉ่ำๆ เราขอแนะนำเลยว่า ถ้าคุณๆมาเที่ยวที่เกาะฮอกไกโด ไม่ว่าจะส่วนไหนเมืองไหนของเกาะให้ลองซื้อเมล่อนกับองุ่นเขียวจากตลาดหรือมินิมาร์ทใกล้ๆกลับมาผ่ากินที่ที่พักดูค่ะ เมล่อนเค้าช่างหอมหวานฉ่ำอร่อยสุดๆ ส่วนองุ่นเขียวก็ไร้เมล็ดและหวานไม่แพ้เมล่อนเลย จบวันแบบหวานๆตาพริ้มๆ อาห์หร่อยย

โพสนี้เราเขียนด้วยใจไร้สปอนเซอร์สนับสนุน แต่อย่างไรก็ตามถ้าทุกคนซื้อสินค้าหรือจองบริการผ่านลิงค์โฆษณาที่โผล่ขึ้นมา เราจะได้ค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆเพื่อนำมาใช้พัฒนา Ploy’s Little Atlas บล็อกท่องเที่ยวเล็กๆของเรานี้ต่อไปค่ะ ขอบพระคุณผู้เข้าชมทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ //ไหว้ย่อ//

โพสที่เกี่ยวข้อง

แผนการเที่ยวพร้อมรีวิว Autumn Hokkaido 5 วัน 4 คืน – Part 1